วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562



สรุปวิจัย
เรื่อง ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน

ปริญญานิพนธ์ ของ ศศิพรรณ สําแดงเดช


ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชาย - หญิง อายุ 5 – 6 ปีจํานวน 15 คน ที่ กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรยนที2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนวัดไทร (ถาวรพรหมานุกูล) สํานักงานเขตจอมทอง กรุงเทพมหานครซึ่งได้มา จากการเลือกแบบหลายขั้นตอน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครงน้ั ี้คือ แผนการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน 24 แผน และ แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.66 การดําเนินการทดลองได้แก่แบบ แผนการทดลอง One – Group Pretest-Posttest Design และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถติ t – test for ิ Dependent Samples ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเมื่อจําแนกเป็นรายด้านแล้ว พบว่า ทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ด้านการสังเกตการจําแนก การสื่อสาร ทุกด้านสูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญที่ระดับ .01

ความมุ่งหมายของการวิจัย 
1. เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม การทดลองหลังการฟังนิทาน ก่อนและหลังการทดลอง
 2. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน ก่อนและหลังการทดลอง

ความสําคญของการวิจัย
 ผลของการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้จะเป็นแนวทางให้กับครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฐมวัยได้ตระหนักและเข้าใจถึงความสําคัญในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็ก ปฐมวัยด้วยการทำกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน รวมทั้งเปนแนวทางในการทำกิจกรรมการ ทดลองหลังการฟังนิทานให้มีความหมายและเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย

ขอบเขตของการวิจัย
 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
 กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กชาย-หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปีที่กําลัง ศึกษาอยในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนวัดไทร (ถาวรพรหมานกูล) สํานักงานเขตจอมทอง สังกัดกรุงเทพมหานครจํานวน 5 ห้องเรียน จํานวน 175 คน

ตัวแปรที่ศึกษา
 1. ตัวแปรต้น ได้แก่  การได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน
 2. ตัวแปรตาม ได้แก่   ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์

สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทานมีทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์สูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง



วิธีการดําเนินการทดลอง ิ

 การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 ทําการทดลองเป็นเวลา 8 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีทําการทดลองในช่วงเวลา 08.30 – 09.00 น. รวม 24 ครั้ง มีลําดับขั้นตอนดังนี้ 
1. ผู้วิจัยใช้คะแนนการทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยใน ขั้นตอนการเลือกตัวอย่างเป็นคะแนนก่อนการทดลอง
 2. ผู้วิจัยดําเนินการทดลองด้วยตนเองโดยทดลองสัปดาห์ละ 3 วันวันละ30 นาที ในช่วงเวลา 08.30 – 09.00 น. ของวันจันทร์วันอังคาร วันพุธ จนสิ้นสุดการทดลอง โดยระหว่างที่ ผู้วิจัยดําเนินการทดลองกับเด็กกลุ่มตัวอย่างเด็กที่ไม่ใช้กลุ่มตัวอย่างอยู่ในความดูแลของครูผู้ช่วย สอน
 3. เมื่อดําเนินการทดลองไปจนครบ 8 สัปดาห์ผู้วิจัยทําการทดสอบหลังการทดลองกับเด็กกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ชุดเดียวกับก่อนการ ทดลอง
 4. นําข้อมูลที่ได้จากการทดสอบไปทําการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถติ


เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
 1. แผนการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน
2. แบบทดสอบวดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มีความเชื่อมั่น .66

สรุปผลการทดลอง
 1 เด็กปฐมวัยทั ี่ได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทานมีทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์อย่างมีนัยสําคัญที่ .01 และพบว่าทักษะด้านการสังเกต การจําแนก และการสื่อสารสูงกว่า ก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญที่ .01
2 ก่อนการทดลองการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน โดยรวมและรายด้าน คือ ด้าน การสังเกต ด้านการจําแนก และด้านการสื่อสาร อยู่ในระดับพอใช้หลังการจัดกิจกรรมหลังการฟังนิทาน โดยรวมอยู่ในระดับดีและรายด้านคือ ด้านการสังเกตอยู่ในระดับด ีมาก ด้านการจําแนกและการสื่อสารอยู่ในระดับดี



สรุปบทความ

สอนลูกเรื่องฤดูกาล (Teaching Children about Seasons)


ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บุบผา เรืองรอง อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชระดับ: อนุบาลหมวด: เกี่ยวกับอนุบาล



























ลิงค์   http://taamkru.com/th/%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5/?fbclid=IwAR3HxG8rTZXxJRqXC8zNmSOnJ9gVGk0FVRQ7NmoE7KvdmaneRk39alaSQSw
การสอนลูกเรื่องฤดูกาล (Teaching Children about Seasons) หมายถึง การจัดกิจกรรมให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ถึง การแบ่งช่วงเวลาในหนึ่งปีตามสภาพอากาศ แต่ละฤดูกาลจะมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันไป เกิดขึ้นจากการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของโลก ความร้อนจากดวงอาทิตย์ การระเหยของน้ำบนผิวโลก และการเคลื่อนที่ของอากาศ ในแต่ละภูมิภาคจะมีช่วงฤดู กาลแตกต่างกัน สำหรับประเทศไทยมี 3 ฤดูกาลคือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แต่ภาคใต้ของประเทศไทยมีเพียง 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน และฤดูฝน ฤดูกาลเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เด็กจึงควรรู้จักและเข้าใจสภาพธรรมชาติของฤดูกาล เพื่อได้อยู่อย่างมีความสุขกับธรรมชาติ การสอนให้เด็กเข้าใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงถูกบรรจุลงในหลักสูตรการศึกษาปฐม วัย พุทธศักราช 2546 ในสาระที่เด็กควรเรียนรู้ เรื่องธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเรื่องฤดูกาลเป็นเรื่องหนึ่งที่เด็กจะต้องเรียนรู้จากสภาพจริงในชีวิตประจำวัน และกิจกรรมอื่นๆที่ครูออกแบบตอบสนองความสนใจของเด็ก รวมทั้งพ่อแม่ที่จะสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตให้แก่ลูกเรื่องฤดูกาลเช่นกัน

การสอนเรื่องฤดูกาลสำคัญดังนี้
  • -เรื่องฤดูกาลเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์กับคนเราเสมอ จึงควรสอนความรู้ให้แก่เด็ก
  • -ความเป็นธรรมชาติเป็นเรื่องของเหตุและผล จึงสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กสนใจ สืบค้นเรื่องราวที่เกี่ยว ข้องกับฤดูกาลเพื่อต่อยอดได้ต่อไป
  • -การเรียนเรื่องใดๆเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นคนช่างคิด ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่ควรปลูกฝังให้แก่เด็กปฐมวัย
  • -นิสัยของเด็กปฐมวัยจะชอบสำรวจธรรมชาติ ดังนั้น การเรียนเรื่องฤดูกาลเป็นการตอบสนองความสนใจให้แก่เด็ก
  • ครูสอนเรื่องฤดูกาลให้กับเด็กปฐมวัย
  • ในช่วงปีหนึ่งๆ มีฤดูกาลเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และแตกต่างไปตามสภาพแต่ละท้องถิ่น ครูจะจัดกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ให้เด็กได้สังเกตผ่านประสาทสัมผัสโดยตรง เช่น
    • -ช่วงฤดูฝนจะมีฝนตกติดต่อกันทั้งวัน การสนทนาของครูและเด็กเริ่มตั้งแต่เช้า ด้วยคำถามช่วนให้สังเกตและคิดว่า เราแต่งกายอย่างไร เราใช้อะไรเป็นเครื่องกันฝน ทำไมเราต้องทำเช่นนั้น ครูอาจชวนเด็กๆมายืนที่หน้าต่างมองผ่านกระจกไป เราเห็นท้องฟ้าเป็นอย่างไร บางทีการที่ให้เด็กได้สัมผัสน้ำฝนที่ไหลตามรางน้ำหรือหยดจากชายคา ทำให้เด็กสนุกสนาน ได้รู้ สึกความเย็นฉ่ำของน้ำฝน น้ำเป็นของเหลวจับไม่ได้ หลังฝนตก ครูอาจพาเด็กไปที่สนามหญ้าหรือลานดิน ดูใบไม้ที่มีหยดน้ำฝนเกาะ น้ำที่ขังในแอ่งดินหรือกอหญ้า ในอ่างน้ำอาจจะมีกบและไข่กบ
    • -ในฤดูหนาว ลมหนาวที่พัดโชยมา ผิวกายของเด็กสัมผัสถึงความเย็น เด็กๆจะต้องสวมเสื้อกันหนาว แตกต่างจากเสื้อกันฝน ครูอาจนำเด็กไปสำรวจรอบๆโรงเรียน ดูใบไม้บางชนิดเปลี่ยนสีใบ ท้องฟ้ามีหมอกบางๆ เด็กจะต้องนอนห่มผ้าให้อบอุ่น
    • -เมื่อมาถึงฤดูร้อน เด็กๆจะเห็นแสงแดดส่องทั่วสนาม การยืนกลางแสงแดดจะร้อนมากขึ้นๆ เด็กๆจะกระหายน้ำมากในช่วงฤดูร้อน การสวมเสื้อผ้าจะต้องเลือกที่เบาบาง
    การสอนผ่านสภาพจริงจะเกิดประโยชน์โดยตรงที่เด็กจะรับรู้และเข้าใจการปฏิบัติตนให้มีสุขภาพแข็งแรง
    ส่วนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมหลักทั้งหก ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ครูอาจกำหนดหน่วยการสอนตามช่วงฤดูกาลของท้องถิ่น คือ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน เด็กๆจะเรียนรู้จากกิจกรรมดังกล่าว ดังตัว อย่างต่อไปนี้
    • กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เมื่อครูให้เด็กเคลื่อนไหวพื้นฐานแล้ว เด็กสามารถเลือกลักษณะกิจกรรมเคลื่อน ไหวและจังหวะแบบต่างๆ เพื่อส่งเสริมกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็ก เช่น เลียนแบบท่าทางของสัตว์ในฤดูฝน เช่น กบ ปลา การเคลื่อนไหวตามบทเพลง เช่น เพลงลมหนาว เพลงฝนตก เพลงว่าว การทำท่าทางกายบริหารตามจังหวะและทำนองเพลง หรือคำคล้องจอง ซึ่งเหมาะสมมากในช่วงฤดูหนาว เพื่อให้เด็กเกิดความอบอุ่น สบายตัว เป็นต้น
    • กิจกรรมสร้างสรรค์ ระบายสีท้องฟ้าที่เด็กเห็นในแต่ละฤดูกาล ประดิษฐ์เครื่องใช้เครื่องเล่นในแต่ฤดูกาล เช่น
      • ฤดูร้อน ประดิษฐ์ว่าว กังหัน จรวด พัดลม หมวกชายหาด ฯลฯ
      • ฤดูฝน ประดิษฐ์ร่ม หมวกกันฝน
      • ฤดูหนาว ประดิษฐ์ดอกไม้จากเศษวัสดุ ฯลฯ
    งานปั้นและงานกระดาษ ที่ส่งเสริมให้เด็กได้ใช้มือและนิ้วมือ เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก พร้อมๆกับการได้คิดสร้างสรรค์โดยมีประสบการณ์เรื่องฤดูกาลเป็นพื้นฐานให้เด็ก
    • กิจกรรมเสรี การจัดกระบะทรายเป็นอีกมุมหนึ่งที่ครูมักจัดเสริมให้เด็กเรียนรู้ นอกเหนือจากการให้เด็กได้ประสบ การณ์ตรงจากสภาพจริงของฤดูกาลต่างๆแล้ว โดยจัดหาอุปกรณ์เครื่องเล่น เช่น ถ้วยตวง ขวด ช้อน ตัวสัตว์พลาสติก ต้นไม้จำลอง ฯลฯ เพื่อให้เด็กนำมาจัดตามความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง จัดมุมบ้าน มุมร้านค้า มุมวัด มุมหมอ มุมเกษตรกร ฯลฯพร้อมอุปกรณ์ ที่เด็กใช้ประกอบบทบาทสมมตที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาล เช่น เครื่องแบบของคนอาชีพหมอ รักษาผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง เช่น ฝนตกมาก หนาวมาก เด็กจะเป็นหวัด ไม่สบายไปหาหมอ เครื่องแต่งกายเครื่องใช้ในการประ กอบอาชีพ เช่น กระบุง ตะกร้า ไม้คาน เครื่องมือจับปลา รองเท้าฯ
    • กิจกรรมเสริมประสบการณ์
      • ครูอาจนำเด็กไปทัศนศึกษาชายทะเล น้ำตก ในช่วงฤดูร้อน ไปสำรวจพืชและสัตว์ พื้นดิน ห้วยน้ำ รอบๆโรงเรียนและชุม ชน
      • ในฤดูฝน ครูมีคำถามให้เด็กสนใจและร่วมคิดว่า เด็กคิดว่าฝนไปอยู่ในอากาศได้อย่างไร หรือเป็นคำถามที่เด็กๆมักสนใจ -ถามว่า ฝนมาจากไหน เด็กจะได้ทดลองสังเกตไอน้ำที่จับตัวกัน และกลั่นตัวเป็นหยดน้ำในอากาศ ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ปริมาณน้ำฝนมีต่างๆกัน เรามีความจำเป็นที่ต้องทราบว่า ฝนตกเท่าใด (ปัจจุบันเรื่องโลกร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดน้ำท่วม เรื่องปริมาณน้ำจึงเป็นเรื่องที่น่า สนใจมากสำหรับเด็กๆ ที่มาจากครอบครัวที่ทำไร่ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมถึง)
      • คำถามว่ารุ้งมาจากไหน อะไรทำให้เกิดรุ้งกินน้ำ เด็กๆจะได้ทดลองและทราบว่า แสงอาทิตย์และหยาดน้ำฝนทำให้เกิดรุ้งกินน้ำได้ ในช่วงฤดูหนาว การเกิดน้ำค้างแข็งบนยอดหญ้า
      • คำถามที่น่าสนใจคือ หยดน้ำเปลี่ยนสภาพไปอย่างไรในอากาศที่เย็นจัด
    กิจกรรมการทดลองจะส่งเสริมให้เด็กสนใจและรู้จักธรรมชาติ นอกจากสาระที่เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติแล้ว ครูจะบูรณาการเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่แสดงถึง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราเกี่ยวข้องกับฤดูกาล เช่น เครื่องแต่งกายในแต่ละฤดูกาล อาหาร ของใช้ ของเล่น บ้านที่อยู่อาศัย สถานที่ ที่อยู่สัมพันธ์กับภูมิอากาศ สังเกตวัตถุอุปกรณ์ที่นำมาผลิต รูปแบบจะแสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เด็กอาศัยอยู่ ได้เห็นความแตกต่างและความเหมือนกับท้องถิ่นอื่น ประเทศอื่นๆ และการรัก ษาสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เพื่อฤดูกาลจะเป็นปกติ

  • สรุปตัวอย่างการสอน 
  • เรื่อง  จุดประกาย นักวิทยาศาสตร์น้อย
  •  ครูเฉลิมชัย วัดเข้าหลาม
  • ชั้น :
     ป.4
    กลุ่มสาระ :
     วิทยาศาสตร์
    หมวด :
     เทคนิคการสอน
    รายละเอียด :
    เปิดห้องเรียนวิทยาศาสตร์ อันแสนสนุกของ ครูเฉลิมชัย วัดเข้าหลาม รร.ราชวินิต ประถม เพื่อเรียนรู้หลักการของเสียง การกำเนิดเสียง และ การเดินทางของเสียง พร้อมเผยความลับที่จะเปลี่ยนแปลงนักเรียนให้เป็น ʺนักวิทยาศาสตร์น้อยʺ 














































วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ


                        วันที่ 24 สิงหาคมไปศึกษาดูงานที่อิมเเพ็คเมืองทองธานีซึ่งเป็นสถานที่จัดงานสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์และจัดตั้งแต่วันที่ 16- 25 สิงหาคม 2562 

ราละเอียดของงานวันวิทยาศาสตร์ 
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เป็นวันสำคัญของประเทศไทยและมีความสำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ไทย กำหนดให้ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อ พ.ศ. 2411 ปัจจุบันมีการจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นประจำทุกปี

ประวัติ

รัฐบาลไทยกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติเนื่องจากวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินชลมารคและสถลมารค ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 โดยจะเห็นหมดดวงที่หว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ตรงเกาะจานขึ้นไปถึงปราณบุรี และลงไปถึงแขวงเมืองชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ มีคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์
ผลการคำนวณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแม่นยำมาก เซอร์แฮรี ออด บันทึกเหตุการณ์ไว้ซึ่งต่อมาหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้แปลเป็นภาษาไทยในงานหว้ากอรำลึก ณ ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2518 ว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกถ้วนที่สุด ถูกถ้วนยิ่งกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้"
สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์ มีแนวคิดว่าน่าจะถือเอาวันที่ 18 สิงหาคมเป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย ต่อมาวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2511 หลายหน่วยงาน เช่น สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ กรมอุทกศาสตร์ กรมชลประทาน กรมแผนที่ทหาร กรมอุตุนิยมวิทยา กรมไปรษณีย์โทรเลข ฯลฯ ได้ร่วมกันจัดงานขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทย ในที่สุดพระองค์ทรงได้ค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า "ปฏิทินปักขคณนา" (ปักขคณนา คือ วิธีนับปักข์หรือรอบครึ่งเดือนของข้างขึ้นข้างแรม เป็นวิธีนับที่แม่นยำสูง) และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ทำปฏิทินจันทรคติพระทุกปี แทนปฏิทินฆราวาส ขณะเดียวกันพระองค์ได้ทรงค้นคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดาน ไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อจะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ และมีชื่อเรียกว่า "กระดานปักขคณนา" ซึ่งปัจจุบัน ยังคงมีให้เห็นในวัดสายธรรมยุต. เช่น วัดราชาธิวาส พระปรีชาสามารถด้านดาราศาสาตร์นั้นน่าจะเริ่มตั้งแต่ทรงทอดพระเนตรดาวหางเมื่อทรงพระเยาว์. ซึ่งพระองค์ยังได้ทรงออกประกาศแจ้ง ชื่อ ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ให้เชื่อตามคำเล่าลือที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น.ซึ่งนับเป็นประกาศทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศ
ในพระราชฐานของพระองค์ ทั้งที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดจะมีหอดูดาว โดยเฉพาะหอชัชวาลเวียงชัย ในบริเวณพระนครคีรีหรือเขาวัง พระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป ดังนั้นหอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลา พระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2395 โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์
ต่อมาในวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชจากท่านิเวศวรดิษฐ์ไปยังบ้านหว้ากอ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (รัชกาลที่ 5) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา กับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชบริพารจำนวนมาก ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวณของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด คือ ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ เมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึงปราณบุรี และลงไปถึงเมืองชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อถึงวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว
สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีแนวคิดว่าน่าจะถือเอาวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย ต่อมาวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ
นอกจากนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2527 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 18–24 สิงหาคม โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการต่างๆ จนได้รับความสนใจทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความสำคัญ ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2528 คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 18–24 สิงหาคม วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2511 หลายหน่วยงาน เช่น สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ กรมอุทกศาสตร์ กรมชลประทาน กรมแผนที่ทหาร กรมอุตุนิยมวิทยา กรมไปรษณีย์โทรเลข ฯลฯ ได้ร่วมกันจัดงานขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

กิจกรรม

กิจกรรมที่ควรปฏิบัติในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
  • จัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”
  • จัดกิจกรรมส่งเสริมงานด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ

คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

  • 2532 พิทักษ์สิ่งแวดล้อมของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2533 เพิ่มคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2534 ขจัดมลพิษทุกชีวิตจะปลอดภัย
  • 2535 เปลี่ยนขาดทุนให้เป็นกำไร โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2536 วิทยาศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มคุณค่าชีวิต พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
  • 2537 ขจัดปัญหาน้ำของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2538 เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวไกล เศรษฐกิจไทยมั่นคง
  • 2539 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาชาติไทยให้ก้าวหน้า
  • 2540 พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2541 พัฒนาเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ พัฒนาชาติด้วยภูมิปัญญาไทย
  • 2542 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตไทยที่ยั่งยื่น
  • 2543 พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2544 วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทย
  • 2545 วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทย
  • 2546 เส้นทางแห่งการค้นพบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณค่าแห่งภูมิปัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • 2547 เศรษฐกิจของชาติมีปัญหา วิทยาศาสตร์มีคำตอบ
  • 2548 วิทยาศาสตร์คือความรู้สู่ความสำเร็จ
  • 2549 เศรษฐกิจพอเพียง เคียงคู่ไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2550 วิทยาศาสตร์สร้างปัญญาในสังคม
  • 2553 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์
  • 2554 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์
  • 2555 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์
  • 2556 ทันโลก ทันวิทย์ จุดประกายความคิดสู่อาเซียน
  • 2557 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 2558 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม
  • 2559 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม
  • 2560 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม
  • 2561 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม
  • 2562 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม



รูปภาพประกอบงาน





























































คำศัพท์ 

science Day วันวิทยาศาสตร์

space อวกาศ

mode ภาพจำลอง

physician แพทย์

ministry กระทรวง

ประเมินอาจารย์
อาจารย์บอกสถานที่ละเอียด

ประเมินเพื่อน
เพื่อนตรงตามเวลานัดและใช้เวลาอย่างคุ้มค่า

ประเมินตนเอง
ตรงต่อเวลาและศึกษาดูงานตามที่ได้รับมอบหมาย

บรรยากาศ
เด็กอนุบาล นักเรียน ครู ผู้ปกครองมาในวันงานจำนวนมาก อากาศเย็นสบาย มีการแนะนำตามแหล่งเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี